ฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นการฉีดสารที่มีเชื่อว่า Hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารเติมเต็มเข้าสู่บริเวณริมฝีปาก เพื่อเป็นการปรับรูปปากให้ดูสวย ชุ่มชื้นมีความอวบอิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีเสริมความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ปากที่สวยแล้วยังส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูดีมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยเพราะการวิจัย และการรับรองมาอย่างดีแล้ว หากใครกำลังคิดจะฉีดแต่กำลังลังเล หรือหาข้อมูลอยู่เราจึงได้นำข้อควรรู้มาบอกกันดังนี้
ข้อดี-ข้อเสีย ฉีดฟิลเลอร์ปาก
ข้อดี – หลังจากฉีดเสร็จจะเห็นผลได้ชัดเจนทันที ไม่ต้องพักฟื้นนาน ดูแลง่าย ผลข้างเคียงน้อย มีความปลอดภัยสูง และราคาไม่สูงหากเทียบกับการทำศัลยกรรมประเภทอื่น
ข้อเสีย – ฟิลเลอร์จะอยู่ได้ไม่นานนัก โดยปกติจะมีระยะเวลาอยู่ได้ประมาณ 5-6 เดือน แต่ในบางกรณีก็สามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และร่างกายของแต่ละคน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดเป็นประจำ ทำให้หลายคนมองว่าในระยะยาวอาจไม่คุ้มเท่าไหร่นัก
การเตรียมตัว ฉีดฟิลเลอร์ปาก และอาการที่พบได้หลังฉีด
หลังจากเลือกคลินิก เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ และศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วการเตรียมตัวก็คือผู้ที่ทานวิตามินต่าง ๆ เป็นอาหารเสริมควรงดทานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการฉีด
หลังจากฉีดฟิลเลอร์เสร็จ ริมฝีปากจะมีจุดแดง ๆ ที่เกิดจากรอยเข็ม ซึ่งทำให้มีอาการบวมเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยอาการบวมจะค่อย ๆ หายได้เองภายใน 7 วัน
ข้อควรปฏิบัติหลังจาก ฉีดฟิลเลอร์ปาก
หลังจากที่ฉีดเสร็จก็มีข้อควรปฏิบัติในการดูแลตัวเองเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยมีวิธีดังต่อไปนี้
- ให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และไม่ควรทานเครื่องดื่มที่มีความร้อน เพราะทั้งแอลกอฮอล์ กับน้ำร้อนอาจส่งผลให้รูปปากเสียทรงได้
- ให้ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ ให้ถึงประมาณวันละ 8-16 แก้ว เพื่อให้ฟิลเลอร์ฟู และมีอายุอยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น
- ห้ามลอกหรือดังหนังบริเวณฝีปาก
- หากมีการนัดตรวจควรไปทุกครั้ง หรือมีอาการผิดปกติให้รีบกลับไปที่คลินิกเพื่อทำการรักษา หรือแก้ไข
อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจ ฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ละเอียดไม่ว่าจะเป็นตัวยาที่ใช้ฉีด การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถืออาจจะหาอ่านจากรีวิว เพราะหากฉีดกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่เชี่ยวชาญก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดพลาด หรือความเสียหายตามมาได้ เช่น ปากไม่ได้ทรงที่ต้องการ ปากบิดเบี้ยว เป็นต้น