หลายคนต้องทานหลายชนิดเป็นประจำเพราะมีโรคประจำตัว และบางครั้งก็ทานยาอื่นๆอีกด้วย การทานยาหลายชนิดพร้อมกันอาจจะทำให้ยาตีกัน อาจส่งผลเสียต่อคนป่วยได้ วันนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับการทานยาบางชนิดพร้อมกันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
กลุ่มยาที่มักพบเกิดปัญหาตีกัน
“ยาตีกัน” คือลักษณะอาการหนึ่งที่ทำให้ฤทธิ์ของยาตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อได้รับยาอีกตัวหนึ่งร่วมด้วย ซึ่งอาจเกิดอันตราย อาจจะทำให้ผลการรักษาลดลง และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
1.ยาลดความดันโลหิตสูงกับยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดซึ่งมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว เมื่อทานยาทั้งสองชนิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน หรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็อาจมีผลไปกดฤทธิ์ยาลดความดันโลหิต ทำให้ไม่สามารถลดความดันโลหิตได้
2.ยาลดความดันโลหิตสูงกับยาแก้แพ้อากาศ
ยาลดความดันโลหิตสูงที่มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ในขณะที่ยาแก้แพ้ มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งหากรับประทานคู่กันไประยะเวลานานก็มีผลเสียทำให้ควบคุมความดันไม่ได้
3.ยารักษาโรคเบาหวานกับยาแก้แพ้อากาศ
ยาแก้แพ้มีผลต่อการเพิ่มระดับอุณหภูมิในเลือด โดยอาจจะส่งผลให้การออกฤทธิ์ของยาลดน้ำตาลในเลือดมีประสิทธิภาพลดลง
4.ยาแก้ท้องเสียชนิดคาร์บอนกับยาเบาหวานและยาลดความดันโลหิตสูง
ยาแก้ท้องเสียชนิดคาร์บอนมีฤทธิ์ช่วยดูดสารพิษ และเมื่อทานยาลดความดันโลหิตหรือยาลดระดับน้ำตาลในเลือด คาร์บอนจะเข้าไปดูดซับยามีผลต่อประสิทธิภาพของยาทำงานได้น้อยลง
5.ยาปฏิชีวนะกลุ่มฆ่าเชื้อบางชนิดกับยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
หากมีภาวะอาการท้องเสียจึงทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ แต่เนื่องด้วยยาลดกรดจะมีแร่ธาตุพวกแคลเซียม อลูมิเนียม ซึ่ง ทำให้ยาฆ่าเชื้อมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง
6.ยาแก้ปวดไมเกรนกับยาต้านไวรัสเอดส์บางกลุ่ม
ผู้ป่วยที่มีเชื้อ HIV มีความจำเป็นต้องทานยาต้านไวรัสอยู่เป็นประจำทุก ห้ามรับประทานยารักษาอาการไมเกรนกลุ่มเออร์กอต (Ergot) เช่น คาเฟอร์กอต (Cafergot), เออร์โกมาร์ (Ergomar) โดยเด็ดขาด เพราะตัวยามีผลตีกันอย่างรุนแรงทำให้เกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า อาการแขนขาอ่อนแรง ผิวหนังบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าเกิดเนื้อตายได้
การทานยาหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ควรสอบถามและศึกษาข้อมูลชนิดของยาที่ใช้อยู่เป็นประจำว่ามีข้อปฏิบัติและข้อห้ามอย่างไรบ้าง และไม่ควรซื้อยาและอาหารเสริมมากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร